โภชนะบำบัดสำหรับรักษาโรคเบาหวาน

สำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานหรือเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน ควรจะได้รับความรู้เกี่ยวกับโภชนะบำบัด

โรคเบาหวานและการรับประทานอาหาร

แนวทางการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

การเลือกรับประทานอาหารอย่างถูกต้องเพื่อสุขภาพ เป็นสิ่งที่สำคัญในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน เมื่อควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีโรคแทรกซ้อนก็จะลดลงด้วย

หลักการควบคุมง่ายๆในการคุมอาหาร

  • รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
  • รับประทานข้าวเป็นหลัก สลับกับอาหารพวกแป้งเป็นบางมื้อ
  • รับประทานพืชผักให้มาก และรับประทานผลไม้เป็นประจำ
  • รับประทานเนื้อปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ และถั่วเมล็ดเป็นประจำ
  • ดื่มนมให้พอเหมาะกับวัย
  • หลีกเลี่ยงอาหาร หวาน มัน และเค็ม
  • รับประทานอาหาร 3 มื้อ และอาหารว่างหนึ่งมื้อ และรับประทานอาหารให้เป็นเวลา ห้ามงดอาหาร
  • รับประทานอาหารให้หลากหลายเพื่อที่รางกายจะได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ โดยพิจารณาจากภาพให้รับประทานอาหารได้มากบริเวณฐาน และรับประทานน้อยบริเวณยอดสามเหลี่ยม
  • รับประทานไขมันให้น้อย เลือกเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน หลีกเลี่ยงการทอดใช้การย่าง อบ ต้ม หรือเผาแทนการทอด
  • รับประทานน้ำตาลให้น้อยลง ก่อนรับประทานอาหารให้อ่านสลากอาหาร และหลีกเลี่ยง sucrose,dextrose,fructose,corn syrup หลีกเลี่ยงน้ำอัดลมที่ใส่น้ำตาล หลีกเลี่ยงคุกกี้ เค้ก ลูกอม
  • หลีกเลี่ยงอาหารเค็ม โดยการเติมเกลือให้น้อย หลีกเลี่ยงอาหารกระป่อง ให้ชิมรสอาหารก่อนปรุง
  • หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์

การควบคุมอาหาร Medical nutrition therapy(MNT) เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ป่วยต้องสามารถที่จะวางแผนในการรับประทานอาหารในแต่ละมื้อได้อย่างเหมาะสม เป็นที่ทราบกันดีว่าการควบคุมอาหารและการออกกำลังกายเป็นการรักษาที่สำคัญในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่สอง จุดมุ่งหมายในการควบคุมอาหารคือ

  1. รักษาระดับน้ำตาลให้ใกล้เคียงปกติมากที่สุดโดยการปรับให้เกิดความสมดุลระหว่างกับยาที่ใช้คุมเบาหวาน ไม่ว่าจะเป็นยาฉีดหรือยารับประทาน
  2. เพื่อป้องกันโรคที่พบร่วมกับเบาหวานได้แก่
  • ไขมันในเลือดสูง
  • ความดันโลหิตสูง
  1. เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนได้แก่ หลอดเลือดแดงแข็ง ภาวะหมดสติจากน้ำตาลต่ำหรือสูง
  2. ต้องได้รับพลังงานเพียงพอที่จะรักษาระดับน้ำหนักให้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด เพียงพอสำหรับการเจริญเติบโตในเด็ก เพียงพอสำหรับที่จะตั้งครรภ์และให้นมบุตร เพียงพอที่จะใช้ต่อสู้กับภาวะเครียดต่างๆ
  3. ส่งเสริมสุขภาพให้ดีที่สุด
  4. เพื่อควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่ควรเป็น ถ้าเป็นเด็กต้องให้ได้พลังงานที่เพียงพอต่อการเจริญเติบโต
  5. เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถทำงานได้ตามปกติ

แผนการควบคุมอาหารให้ปรับเป็นรายๆขึ้นอยู่กับสภาพของโรค มี insulin resistant หรือไม่ อายุ น้ำหนัก ยาที่รับประทาน พฤติกรรมการบริโภค ตารางข้างล่างเป็นเป้าหมายในการคุมเบาหวานโดยคุมอาหาร

หลักการควบคุมอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน

การควบคุมอาหารในปัจจุบันไม่ได้เข้มงวดเหมือนในอดีต ผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหารต่างๆได้เหมือนปกติ แต่อาจจะต้องดัดแปลงหรือจำกัดปริมาณเพื่อให้เหมาะสมกับโรคปัจจัยที่เราจะต้องนำมาพิจารณาได้แก่

  1. ปริมาณพลังงานที่ได้รับ

คนทั่วไปมักจะเข้าใจว่าการกินน้ำตาลมากจะทำให้น้ำตาลในเลือดสูง ผเมื่อเจาะเลือดตรวจพบน้ำตาลว่าสูงผู้ป่วยส่วนหนึ่งมักจะบอกว่าช่วงนี้ไม่ได้รับประทานหวานเลยทำไมน้ำตาลยังสูงอยู่ ความจริงระดับน้ำตาลในเลือดจะสูงขึ้นมากน้อยแค่ไหนมิได้ขึ้นกับปริมาณน้ำตาลหรือคาร์โบไฮเดรต์ แต่ขึ้นกับปริมาณพลังงานที่ได้รับ หากรับมากเกินความต้องการของร่างกายระดับน้ำตาลในเลือดจะสูง ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่ค่อยระวังอาหารมันซึ่งเป็นสาเหตุของน้ำตาลในเลือดและไขมันในเลือดสูง

  • พลังงานที่ได้ควรเพียงพอสำหรับการเจริญเติบโตและเพียงพอในการคงสภาพน้ำหนัก คนที่อ้วนควรจะจำกัดพลังงานร่วมกับการออกกำลังกาย คนผอมควรจะได้รับพลังงานเพิ่มเพื่อให้น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ คนที่ทำงานใช้แรงมากก็ควรจะได้รับพลังงานอย่างเพียงพอ
  • พลังงานที่ได้ขึ้นกับสภาพน้ำหนัก และกิจกรรมในแต่ละวัน
  • โดยทั่วไปประมาณ20-45 กิโลแคลอรีต่อน้ำหนักตัว 1 กก.
  1. ปริมาณคาร์โบไฮเดรต์ที่ได้รับ

คาร์โบไฮเดรต์หมายถึงอาหารพวกแป้งซึ่งมีอยู่หลายชนิด เช่น น้ำตาล ( sugar) อาหารพวกแป้ง(starch ) ใยอาหาร (fiber)น้ำตาลชนิดอื่น (sucrose,fructose,lactose) จากการศึกษาพบว่าไม่ว่าจะรับประทานอาหารพวกแป้งชนิดไหนก็สามารถทำให้น้ำตาลขึ้นได้ใกล้เคียงกัน ขึ้นกับปริมาณของแป้งหรือคาร์โบไฮเดรต์ที่ได้รับ ลบล้างความเชื่อที่ว่ารับประทานผลไม้แล้วน้ำตาลไม่ขึ้น หรือรับประทานอาหารที่มีใยมากแล้วน้ำตาลไม่เพิ่ม

Glycemic index.
เป็นการวัดการดูดซึมของอาหารเมื่อเปรียบเทียบกับอาหารมาตรฐาน ถ้าอินเด็กเท่ากับร้อยหมายความว่าดูดซึมได้เท่ากับอาหารมาตรฐาน ถ้าต่ำกว่า 100ก็แสดงว่าดูดซึมได้น้อยกว่าอาหารมาตรฐาน ถ้าสูงกว่า 100 แสดงว่าอาหารนั้นดูดซึมได้ดีกว่าอาหารมาตรฐาน อาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวานควรจะมีค่าอินเด็กต่ำ

ชนิดอาหาร ค่าอินเดกซ์
ขนมปังขาว 110
ข้าวเหนียว 106
ข้าวจ้าว 100
ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ 76
ก๋วยเตี๋ยวเส้นหมี่ บะหมี่ 75
มะกะโรนี สะปาเก็ตตี 64-67
วุ้นเส้น 63
ทุเรียน 62.4
สัปปะรด 62.4
ลำไย 57.2
ส้ม 55.6
องุ่น 53.1
มะม่วง 47.5
มะละกอ 40.6
กล้วย 38.6

ดังนั้นผลไม้ที่ควรจะรับประทานได้แก่กล้วยและมะละกอ

ใยอาหาร

อาหารที่มีใยอาหาร

พลังอาหารที่ควรจะได้รับในแต่ละวัน

ตารางแสดงปริมาณสารอาหารที่ควรได้รับ

พลังงานที่รับประทาน/วัน

calories

  • พลังงานที่ได้ควรเพียงพอสำหรับการเจริญเติบโตและเพียงพอในการคงสภาพน้ำหนัก
  • พลังงานที่ได้ขึ้นกับสภาพน้ำหนัก และกิจกรรมในแต่ละวัน
  • โดยทั่วไปประมาณ20-45 กิโลแคลอรีต่อน้ำหนักตัว 1 กก.

อาหาร Protein

  • ปริมาณ10-20%ของพลังงานทั้งหมด
  • ผู้ป่วยที่เริมมีโรคไตให้รับประทานโปรตีน 0.8 กรัม/น้ำหนัก กก/วัน
  • ผู้ป่วยที่ไตเสื่อมมากให้ลดอาหารโปรตีนลงเหลือ 0.6 กรัม/น้ำหนัก กก./วัน

อาหารไขมัน Fat

ปริมาณไขมันสำหรับผู้ที่น้ำหนักปกติ

  • ิให้รับประทานไขมัน = 30% ของพลังงานทั้งหมด
  • ไขมันอิ่มตัว saturated fat <7%, 
  • ไขมันไม่อิ่มตัวแบบโพลี polyunsaturated fat ให้รับประทาน < 10%
  • ไขมันไม่อิ่มตัวแบบโพลี polyunsaturated fat ให้รับประทาน < 10%

ถ้าไขมัน LDL สูง

  • ให้ลดไขมันอิ่มตัวเหลือ <7% 
  • ให้ลดปริมาณcholesterol ลงเหลือไม่เกิน 200 มก./วัน
  • ให้รับประทานไขมัน Omega  3 ซึ่งมีมากในปลา และธัญพืช
  • ไขมันไม่อิ่มตัวแบบโพลี polyunsaturated fat ให้รับประทาน <10%
  • ู้ป่วยที่อ้วนหรือ LDL สูงให้ลดไขมันให้น้อยกว่า 30%

ถ้าไขมัน Triglyceride สูง

  • ให้เพิ่มไขมัน Monounsaturated fat 
  • เพิ่มอาหารพวกแป้ง
  • ลดปริมาณไขมันอิ่มตัวลงไม่เกิน 10 %

อาหาร cholesterol

  • <300 มก./วัน

อาหาร carbohydrate

  • เป็นพลังงานส่วนที่เหลือจาก โปรตีน และไขมัน

สารให้ความหวาน

น้ำตาลเทียม

  •  แอสปาแทม หรือ Equal เป็นกรด amino acid มีสารอาหารต่ำ
  • น้ำตาลฟรุคโตส และ sucrose สามารถใช้แทนอาหารพวกแป้งได้เนื่องจากไม่ทำให้น้ำตาลขึ้น  ซอร์บิทอล เป็นน้ำตาลที่มีสารอาหารเหมือนน้ำตาลแต่ให้พลังงานน้อยกว่าน้ำตาล หากรับประทานมากอาจจะทำให้เกิดท้องร่วง

อาหารที่มีใย

  • ให้รับประทานวันละ 25-30 กรัม/วัน

เกลือ

  • <3000 มก./วัน
  • <2400 มก./วันในผู้ป่วยที่เป็นความดันโลหิตสูง
  • <2000 มก/วันในผู้ป่วยที่เป็นความดันโลหิตสูงและเป็นโรคไต

แอลกอฮอล์

  • เบียร์ไม่เกิน 2 กระป่อง

วิตามิน

  • เหมือนคนปกติ
  • ไม่แนะนำให้ใช้ vitamins E , C และ carotene เนื่องจากไม่มีประโยชน์

เมื่อไร่จะเรียกว่าอ้วน

การจะพิจารณาว่าอ้วนหรือไม่จะพิจารณาจากดัชนีมวลกาย Body mass index [BMI] =น้ำหนัก (กก)/ส่วนสูง(ม²) ค่าปกติอยู่ระหว่าง 18.5-22.9 กก/ม² BMI>25 กก/ม²ให้ถือว่าอ้วน  BMI >30 กก/ม²อยู่ในเกณฑ์ที่ต้องรีบลดน้ำหนัก

สารอาหารโปรตีน

โปรตีนเป็นส่วนประกอบพื้นฐานโครงสร้างของเซลล์ ฮอร์โมนหลายๆอย่าง สารอาหารโปรตีน 1กรัมให้พลังงาน 4  กิโแคลอรีแนะนำให้รับประทานปริมาณโปรตีน 0.8 กรัม/น้ำหนัก/วัน ในผู้ป่วยสูงอายุโปรตีนควรมาจาก ไข่ นม เนื้อไม่ติดมัน เต้าหู้ ถั่ว

สารอาหารไขมัน

สารอาหารไขมัน 1 กรัมให้พลังงาน 9  กิโแคลอรี ร่างกายต้องการ 25-30%ผู้ป่วยที่อ้วนหรือ LDL สูงควรลดปริมาณพลังงานจากไขมันให้ต่ำกว่า 30%

สารอาหาร carbohydrate

การรับประทานสารอาหาร carbohydrate จะทำให้ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดสูง สารอาหารโปรตีน และไขมันจะช่วยชะลอการย่อยและการดูดซึมของ carbohydrate  วันหนึ่งๆควรได้ carbohydrate 50-60%เมื่อคำนวณจำนวนสารอาหาร carbohydrate ก็แบ่งจำนวนดั่งกล่าวเป็นมื้อๆอย่างเหมาะสม นอกจากนั้นควรได้อาหารที่มีใยมากกว่า 25-40 กรัม/วันซึ่งใยอาหารจะลด cholesterolได้ดี carbohydrate 1กรัมให้พลังงาน 4 กิโแคลอรี

วิตามินและเกลือแร่

ยังไม่มีหลักฐานถึงความจำเป็นในการเพิ่มวิตามินสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน แต่อย่างไรก็ตามสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น vitamin E, vitamin C, ß-carotene ช่วยลดปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจ การให้ chromium สามารถลดระดับน้ำตาลและเพิ่ม HDL ในผู้ป่วยที่ขาด chromium

Alcohol

แนะนำให้ดื่ม 1-2 ครั้งซึ่งจะลดอัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ผู้ป่วยที่ดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้ควบคุมน้ำหนักได้ยาก และอาจจะทำให้เกิดน้ำตาลในเลือดต่ำได้

   

การควบคุมอาหาร

การควบคุมอาหาร | การออกกำลังกาย | การรักษาเบาหวานด้วยยา | การใช้อินซูลิน | การประเมินการรักษา | โรคเบาหวานกับสุภาพสตรี | โรคเบาหวานและการท่องเที่ยว | การดูแลเมื่อเวลาป่วย | เบาหวานกับเอสไพริน | การดูแลในช่องปาก | การดูแลผิวหนัง