ไส้ติ่งอักเสบ (APPENDICITIS)


โรคไส้ติ่งอักเสบ Appendicitis เป็นการอักเสบของผนังภายในไส้ติ่ง เกิดจากการที่มีการอุดกั้นรูในใส้ติ่ง โรคไส้ติ่งอักเสบเป็นโรคที่ต้องการการรักษาโดยการผ่าตัดที่พบได้บ่อยที่สุด หากรักษาช้าอาจจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้แก่ ไส้ติ่งแตก ฝีที่ไส้ติ่ง โลหิตเป็นพิษ ช่องท้องอักเสบ ไส้ติ่งเป็นโรคที่มีปัญหาในการวินิจฉัยให้ที่ถูกต้องค่อนข้างมาก ปัญหาที่เกิดได้แก่

  • ผู้ป่วยบางรายได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบ แต่เมื่อผ่าตัดเข้าไปก็พบว่าไส้ติ่งไม่มีการอักเสบ ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างแพทย์และญาติ
  • ผู้ป่วยบางรายแม้จะไปพบแพทย์แต่ก็ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคอื่น จนกระทั่งไส้ติ่งแตกแล้ว จึงได้รับการรักษาวินิจฉัยที่ถูกต้อง ทำให้แพทย์ถูกต่อว่าจากญาติ
  • เด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ขวบเกือบทุกรายมักจะวินิจฉัยโรคนี้ได้ หลังจากการแตกของไส้ติ่งแล้ว
  • ในเด็กเล็กและผู้ป่วยสูงอายุพบว่าอาจเกิดปัญหารุนแรง ถ้าได้รับการวินิจฉัยและรักษาโรคล่าช้าเนื่องจากภูมิต้านทานต่ำ

การวินิจฉัยโรคไส้ติ่งอักเสบ


ไส้ติ่งอักเสบ


ตำแหน่งที่ปวด

ตำแหน่งที่ปวด


การวินิจฉัยโรคไส้ติ่งอักเสบจะอาศัย ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด การส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการจะเป็นเพียงการสนับสนุนการวินิจฉัย หรือแยกโรคเท่านั้น

อาการของโรคไส้ติ่งอักเสบ

  1. อาการปวดท้อง เป็นอาการที่สำคัญที่สุด ตอนแรกมักจะปวดรอบๆ สะดือ หรือบอก ไม่ได้แน่ชัดว่าปวดที่บริเวณใด แต่ระยะต่อมาอาการปวดจะชัดเจนที่ท้องน้อยด้านขวา
  2. อาการอื่นๆ ที่อาจพบร่วมด้วยคือ
  • คลื่นไส้ พบได้  61-92% 
  • อาเจียนพบได้  50%
  • ไข้ มักจะเกิดหลังจากเริ่มอาการปวดท้องแล้วระยะหนึ่ง
  • เบื่ออาหาร พบได้  74-78%
  • ท้องเสีย พบอาการในผู้ป่วยบางราย มักจะเกิดหลังจากไส้ติ่งแตกทะลุเนื่องจากไส้ติ่งอักเสบ ที่อยู่ตำแหน่งใกล้กับลำไส้ใหญ่ส่วน sigmoid หรือ rectum อาจจะทำให้ถ่ายเหลว
  1. ในเด็กที่มีไส้ติ่งแตกทะลุอาจมาด้วยอาการของลำไส้อุดตันได้

การตรวจร่างกาย

เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการวินิจฉัยโรค

  1. การกดเจ็บเฉพาะที่ท้องน้อยข้างขวา เกือบทั้งหมดจะมจุดที่เจ็บที่สุดที่ท้องน้อยข้างขวา และอาจมีหน้าท้องเกร็งเวลากด (guarding) และเมื่อปล่อยมือจะทำให้ปวดท้องมากขึ้น( rebound tenderness) ด้วย
  2. ในผู้ป่วยไส้ติ่งแตกทะลุ หรือมีช่องท้องอักเสบ Peritonitis มักจะพบว่าจุดที่เจ็บที่สุดจะกว้างขึ้น หรือพบทั่วบริเวณท้องน้อยส่วนล่างทั้ง 2 ข้าง
  3. ในรายที่เป็นฝีจะคลำได้ก้อนไส้ติ่งอักเสบ (appendiceal mass) จาก phlegmon หรือ abscess มักคลำได้ก้อนที่ ท้องน้อยด้านขวา
  4. การตรวจทางทวารหนัก (rectal examination) นับว่าเป็นประโยชน์มาก จะพบว่ากดเจ็บที่ด้านขวาของท้องน้อย แต่ไม่นิยมทำในเด็กเล็กเพราะแปลผลได้ลำบาก
  5. สำหรับผู้หญิงอาจจะต้องตรวจภายในเพื่อวินิจฉัยแยกโรคจาก
  • twisted ovarian cyst เพราะอาจคลำได้ก่อน
  • ส่วนในรายที่สงสัยว่าอาจเกิดจากช่องเชิงกรานอักเสบ pelvic inflammatory disease
  • การตั้งครรภ์นอกมดลูก ectopic pregnancy

การตรวจทางห้องปฎิบัติการ

ไม่ค่อยมีความสำคัญมากนักในผู้ป่วยส่วนใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อการตรวจร่างกายสามารถให้การวินิจฉัยได้อยู่แล้ว แต่จะทำเป็นพื้นฐานเพื่อการดูแลระหว่างการรักษาต่อไป ได้แก่



  • complete blood count มักพบว่า เม็ดเลือดขาวสูงกว่าปกติ
  • การตรวจปัสสาวะ ไม่ค่อยมีประโยชน์มากนักในการวินิจฉัยแยกโรค แต่ช่วยแยกโรคอื่น เช่น มีเม็ดเลือดแดงในปัสสาวะ อาจต้องนึกถึงนิ่วในท่อไต

การตรวจพิเศษ

ในรายที่ลักษณะทางคลินิกบ่งชัดเจนว่าเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน การตรวจพิเศษเพิ่มเติมก็ไม่มีความจำเป็น แต่ในรายที่ลักษณะทางคลินิกไม่ชัดเจนนั้น การตรวจพิเศษอาจมีประโยชน์ในการวินิจฉัยแยกโรค เช่น

  • การถ่ายภาพรังสีของช่องท้อง อาจพบเงาของ fecalith หรือ localized ileus ที่ RLQ
  • การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (ultrasonography) ของช่องท้อง หรือ barium enema ไม่มีความจำเป็นในผู้ป่วยส่วนใหญ่ แต่อาจช่วยในการวินิจฉัยโรคในผู้ป่วยบางรายที่มีปัญหาในการ วินิจฉัยโรค


การรักษาไส้ติ่งอักเสบ การผ่าตัดไส้ติ่งอักเสบ

เพิ่มเพื่อน